วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทความการจัดการเรียนการสอนเพื่อความแตกต่าง





การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งความสำเร็จของผู้เรียนทุกคนที่มีความแตกต่างกัน
อาจารย์ ดร.สุดาพร  ปัญญาพฤกษ์


ในการจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนนั้น ผู้สอนไม่สามารถทราบถึงสิ่งที่เป็นเบื้องลึกของผู้เรียนที่เสมือนเป็นภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำ หรือสิ่งที่เป็น Tacit ซึ่งมีผลในการจัดกิจกรรม รวมไปถึงการประเมินผู้เรียนได้ ทั้งนี้วิธีการหรือแนวทางที่ดีที่สุดในการจัดการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนแต่ละคนเพื่อให้มีมาตรฐานสำหรับผู้เรียนทุกคนนั้นควรจะเป็นเช่นไร? ซึ่งคำถามนี้ก็จะคล้ายกับการสร้างบ้านที่ต้องมีการออกแบบหรือทำแปลนเพื่อสนองความต้องการของทุกคน (ที่แตกต่างกัน) ที่อยู่ในบ้านนั้น และมีมาตรฐานเพียงพอที่จะให้ผู้อยู่อาศัยนั้นปลอดภัยและมีความสุข

ทั้งนี้ในการสอนเพื่อความแตกต่างในชั้นเรียนที่ใช้มาตรฐานเป็นฐานนั้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีความแตกต่างที่เพิ่มขึ้นทั้งเด็กพิเศษ เด็กที่มีความบกพร่องทางความสามารถ หรือแม้กระทั่งเด็กที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งลักษณะการจัดการเรียนการสอนที่น่าสนใจมีดังนี้

1.      Standards-Based Reform: SBR ที่เน้นว่าผู้เรียนทุกคนต้องไปสู่มาตรฐาน เราจะต้องไม่คาดหวังเด็กที่มีปัญหาต่ำเกินไป และใส่ใจกลุ่มผู้เรียนที่มีข้อจำกัดนั้น ซึ่งข้อดีของการมีมาตรฐาน คือ ช่วยให้ครูได้เน้นความรู้และทักษะที่สำคัญ ให้มีความสอดคล้องหรือความต่อเนื่องระหว่างผู้สอน และระหว่างโรงเรียน ลดความคาดหวังที่ไม่ดีต่อเด็กที่มีปัญหา และเป็นตัวกระตุ้น/ส่งเสริมครูผู้สอน

2.       Inclusion อันเป็นการจัดการเรียนรวมที่จะสำเร็จได้โดยขึ้นอยู่กับการจัดการของผู้เรียนแต่ละคนที่ต่างกันของครู ซึ่ง Inclusion นี้มีประโยชน์คือ เป็นหลักสูตรปกติที่เอื้อต่อเด็กที่มีปัญหาด้วย (ซึ่งควรรวมถึง Universal Design For Learning: UDL) นอกจากนี้ Inclusion ยังให้โอกาสเด็กมีปัญหาอยู่ในสังคมกับเด็กปกติ อันเป็นเรียนรู้ร่วมกัน และยังเป็นการเตรียมเด็กทุกคนเข้าสู่โลกของจริงที่เราจะต้องเจอผู้คนหลากหลายรูปแบบ

3.      Cultural and Linguistic Diversity ในชั้นเรียนที่มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของวัฒนธรรมและภาษา ที่เป็นเพศ ชนชั้น เชื้อชาติ ภาษา เผ่าพันธุ์นี้มีอยู่ในชั้นเรียน แต่อย่างไรก็ตามเด็กทุกคนที่ต่างกันนั้นจะต้องได้รับโอกาสในการเรียนรู้ทุกคน ซึ่งอาจเป็นความซับซ้อนของการเรียนการสอนในบริบทที่ต้องมีมาตรฐานเป็นฐาน ข้อดีของ Cultural and Linguistic Diversity คือ ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสในการเรียนรู้จากผู้เรียนอื่นที่มีความแตกต่างกัน ทำให้ผู้เรียนได้เปิดโลก/มุมมองมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนต่างวัฒนธรรม และเตรียมเข้าสู่โลกของความจริง

จะเห็นได้ว่าทั้งสามลักษณะนี้สำคัญมากกับจัดการเรียนการสอนเพื่อความแตกต่าง ซึ่งเราจะเห็นความแตกต่างระหว่าง SBR ที่มุ่งสอนเพื่อจุดหมาย/มาตรฐานเดียวกัน แต่ Inclusion มุ่งการสอนที่ต่างกันหลายแนวทาง ทั้งนี้เราสามารถนำทั้งสามมาบูรณาการกันได้เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด

ซึ่งวิธีการ/แนวทางจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทั้งสามลักษณะข้างต้นนี้ มีดังนี้

1.             Differentiated Instruction: DI เป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีหลายแนวทางให้กับผู้เรียน โดยจัดเนื้อหาอย่างเหมาะสม มีการปรับวิธีการสอนให้เหมาะสม มีการปรับชิ้นงานของผู้เรียน โดยพิจารณาถึงทักษะ/ความสามารถ ทั้งนี้เป็นการเรียนการสอนที่คำนึงถึงผู้เรียนเป็นหลัก

2.             Universal Design For Learning: UDL เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ออกแบบที่ให้ความสำคัญกับผู้เรียนที่มีร่างกาย สติปัญญาที่บกพร่อง อันเป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีลักษณะร่วมกัน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ความหลากหลายทั้งใช้เสียง ใช้การมองเห็น เป็นต้น และการจัดกิจกรรมนั้นต้องสนองกับความสนใจและทัศนคติของผู้เรียนที่มีความหลากหลายด้วย ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่สามรถใช้ได้กับทุกคน โดยใช้ Assistive Technology ที่อาจใช้ในทุก item  บางส่วน หรือระบบการผลิต เพื่อเพิ่มพูนหรือปรับปรุงความสามารถของผู้เรียนที่บกพร่องทางความสามารถ

3.             Sheltered Instruction: SI การจัดการเรียนการสอนที่กำหนดโครงสร้างหรือขั้นตอนที่ชัดเจน สำหรับผู้ที่มีความแตกต่างทางภาษา  เช่น ผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (English language Learners) โดยมีขั้นตอนพื้นฐานทั้ง 8 คือ เตรียมพร้อม ศึกษา         ภูมิหลัง ทำความเข้าใจผู้เรียน กำหนดกลยุทธ์ สร้างปฏิสัมพันธ์ ปฏิบัติและประยุกต์ใช้ จัดบทเรียน และทบทวนและประเมินผล

4.             Multicultural Education: ME การศึกษาแบบพหุวัฒนธรรม สำหรับผู้เรียนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้ มี 5 มิติที่สำคัญ คือ มีการบูรณาการเนื้อหากัน มีกระบวนการสร้างความรู้ (โดยครูและผู้เรียนได้ศึกษาร่วมกัน) มีการจัดกิจกรรมที่ลดอคติกัน มีการสร้างศักยภาพของวัฒนธรรมในโรงเรียน (ขจัดผลที่มีต่อผู้เรียน/เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรม) และส่งเสริมความเสมอภาคในชั้นเรียน (โดยครูใช้วิธีการสอนที่ตอบสนองรูปแบบของผู้เรียนที่ต่างกัน)

             ทั้งนี้พื้นฐานของความสำเร็จของการจัดชั้นเรียนที่เป็น Inclusive และชั้นเรียนที่ใช้มาตรฐานเป็นฐานนั้น นอกจากการเรียนการสอน 4 วิธีการ/แนวทางข้างต้น ต้องคำนึงถึงกรอบของความสำเร็จ ที่เรียกว่า MMECCA อันได้แก่

·       Method of Instruction อันเป็นกลวิธีหรือเทคนิค/วิธีการที่นำมาใช้ในการจัดเรียนการสอน โดยเราจะให้ความสำคัญว่าเราจะใช้แนวคิด/หลักการในการจัดการเรียนการสอนอย่างไร

·       Materials of Instruction เป็นสิ่งที่สำคัญในการสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยทำให้เข้าใจสิ่งที่เรียนได้ง่ายขึ้น โดยเราจะสนใจเกี่ยวกับว่าการเรียนการสอนของเราเหมาะกับการใช้วัสดุ/อุปกรณ์/สื่อแบบใด

·        Environment of Instruction เป็นการเน้นถึงสภาพแวดล้อมทางกายภาพของชั้นเรียน การจัดการพฤติกรรมและลักษณะพื้นฐานทางสังคม/วัฒนธรรม ซึ่งเราให้ความสนใจกับ สถานที่อันเป็นบริบทในการเกิดการเรียนรู้ของผู้เรียน

·       Content of Instruction อันเป็นรายละเอียดที่สำคัญที่นำไปสอนและการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับว่าอะไรเป็นสิ่งที่เด็กควรเรียนรู้และควรจะทำได้ โดยเป็นสิ่งที่ใช้ในกระบวนการเรียนรู้ ที่เป็นความรู้ ข้อเท็จจริงและความเข้าใจที่สำคัญ

·       Collaboration for Instruction เป็นสิ่งที่ครูต้องตระหนักในการทำงานร่วมกันเพื่อจัดการเรียนการสอนที่มีผู้เรียนต่างกัน เช่น ครูต้องแก้ปัญหาร่วมกัน หรือการสอนร่วมกัน โดยเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งความร่วมมือกันของครูเองและกับพ่อแม่ของเด็ก

·       Assessment in Instruction เป็นการเน้นกระบวนการประเมินอย่างเป็นวงจรทั้งเริ่มต้นและสุดท้ายของการเรียนการสอน รวมไปถึงการประเมินอย่างไม่เป็นทางการ การประเมินโดยครู หรือการใช้แบบวัดที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นสิ่งที่ผู้เรียนต้องการและอะไรเป็นสิ่งที่ผู้เรียนรู้

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญในการจัดการเรียนการสอนทั้ง 6 นี้เป็นสิ่งที่ครูควรตระหนักและพิจารณาการในการจัดการเรียนการสอนของตน โดยจะนำไปสู่การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนที่มีผู้เรียนแตกต่างกันให้มีมาตรฐานเป็นหลัก มีการเรียนร่วมกันได้ และให้ความสำคัญกับความแตกต่างในวัฒนธรรมและภาษาของผู้เรียน อันจะส่งผลต่อความสำเร็จของผู้เรียนต่อไป

ทั้งนี้ในประเด็นของ Method of Instruction ก็ได้มีแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวกับการการจัดเรียนการสอนเพื่อผู้เรียนที่แตกต่างกัน โดยสำคัญมีดังนี้

1.             Multiple Intelligences: MI หรือที่เรียกว่า “ทฤษฏีพหุปัญญาที่ถูกพัฒนาโดย Howard Gardner (1999) โดยระบุถึงความฉลาดหรือความสามารถ/ทักษะของคนที่ต่างกันถึง 9 แบบ คือ ด้านภาษา ด้านตรรกะ-คณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านการมอง/ศิลปะ ด้านร่างกาย/การเคลื่อนไหว ด้านการเข้าใจผู้อื่น ด้านการเข้าใจตนเอง ด้านธรรมชาติ และด้านการดำรงชีวิต/ปรัชญา ทั้งนี้ครูจะต้องหาจุดแข็งของผู้เรียนที่มีปัญหา เพื่อนำไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมซึ่งอาจไม่ต้องใช้ทุกกิจกรรมทั้งหมดในทุกบทเรียน ซึ่งสามารถใช้ MI สัปดาห์ละ 1 ครั้งก็ได้ ให้สนใจว่าเด็กจะเก่งได้อย่างไรมากกว่าสนใจว่าเด็กเก่งแค่ไหน รวมไปถึงการส่งเสริมอย่างค่อยเป็นค่อยไป และให้กำลังใจเด็กในการทำงานที่เค้าไม่ชอบเพื่อให้เด็กทำงานได้สำเร็จ

2.             Cooperative Learning: CL ในการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้มีหลักสำคัญคือ มีการพึ่งพากันเชิงบวก มีการปฏิสัมพันธ์กันตัวต่อตัว แต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบ พัฒนาทักษะทางสังคม มีการประเมินผลทั้งทางวิชากรและการเรียนรู้สังคมด้วย ซึ่งมีเทคนิคที่ใช้ในชั้นเรียนเช่น การทำโครงงาน หรือ STAD เป็นต้น ซึ่งในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้อาจไม่ได้ถูกนำไปใช้ในทุกหัวข้อการเรียน โดยเราสามารถจัดกิจกรรมได้ทั้งแบบรายบุคคล เป็นคู่ เป็นกลุ่มเล็กหรือเป็นกลุ่มทั้งชั้นเรียนก็ได้ ซึ่งในบางกิจกรรมที่ผู้เรียนในกลุ่มนั้นทำไม่ได้หรือไม่ทำเลยดึงออกมาทำกิจกรรมอื่นที่เหมาะสมโดยครูมีการติดตามอยู่ด้วย

3.             Tiered Lesson: TL เป็นการเรียนการสอนที่เด็กได้เรียนรู้ในบทเรียนที่มีความซับซ้อนต่างกัน ตามระดับหรือรูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งเป็นการให้ความคิดรวบยอด1 อย่างแต่ด้วยวิธีการที่หลากหลาย โดยเริ่มจากการวิเคราะห์มาตรฐาน พิจารณาถึงสิ่งที่เด็กควรรู้หรือควรทำได้ การเลือกบทเรียนที่เป็นระดับและจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับเนื้อหานั้นและสุดท้ายการพิจารณาจัดเด็กในชั้นที่เหมาะสม ซึ่งการแบ่งระดับนี้อาจเริ่มจาก 2 ระดับ/แบบก่อน โดยเป็นกิจกรรมที่ต่างกัน แต่เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้ในประเด็นเดียวกัน

4.             Learning Centers: LC เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เป็นแบบศูนย์การเรียน อันเป็นการส่งเสริมผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันได้เป็นอย่างดี โดยมีหลักการคือ การเริ่มใช้นั้นต้องเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะเด็กที่ไม่เคยได้ใช้รูปแบบนี้ ต้องมีการบอกกฎกติกาก่อน ซึ่งมุมต่างๆก็จะมีกิจกรรม/งานที่ต่างกัน ควรมีการสะท้อนกลับการใช้มุมต่างๆของเด็ก มุมต่างๆนั้นจะมีเนื้อหาที่เด็กอาจได้เรียนรู้มาบ้างแต่จะมีกิจกรรมเสริม/เพิ่มเติม และใช้สื่อในมุมที่อยู่ใกล้เคียงได้ กิจกรรมแต่ละมุมนั้นจะเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นเด็ก และมุมแต่ละกลุ่มสามารถแยกมุมย่อยได้อีก

 

5.             Graphic Organizers: GO การแสดงความคิดรวบยอดโดยการใช้รูปภาพ ที่เกี่ยวกับการมองอันเป็นการจัดการข้อมูลโดยใช้กราฟิกที่เป็นการแสดงถึงความคิดรวบยอดหลักกับความสัมพันธ์ระหว่างความคิดรวบยอดที่มี ซึ่ง GO นี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนางานของตนเองจากการใช้ความคิดรวบยอดนั้น โดย GO นั้นครูอาจออกแบบเพื่อให้เติมเต็มความคิดของผู้เรียนเพิ่มเติม หรือให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงความคิดอย่างต่อเนื่องกันได้ โดยแต่ละกราฟิกก็จะเอื้อประโยชน์ในการจัดระบบการคิดที่แตกต่างกันออกไป เช่น KWL Chart, Venn diagrams และ story maps รวมไปถึง รูปแบบ Bubble map เป็นต้น  ซึ่งปัจจุบันได้มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการจัดการกราฟิกเพื่ออำนวยความสะดวกมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ในประเด็นของการส่งเสริมชั้นเรียนที่มีความแตกต่างกันโดยการใช้สื่อ/วัสดุ/อุปกรณ์สำหรับการจัดการเรียนการสอนนั้นต้องคำนึงถึงการออกแบบที่สอดคล้องกับผู้เรียนโดยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่ผู้เรียนพึงควรได้รับ การใช้สื่อวัสดุนี้ควรมีการใช้ทรัพยากรสิ่งพิมพ์ เพื่อเพิ่มคุณค่า เช่น หนังสือ/ตำรา/รูปภาพ  การใช้เพื่อวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยการใช้รูปภาพ เรื่องราว และผู้เขียนเป็นสำคัญ และการใช้พจนานุกรมและเครื่องช่วยอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้สื่อไฟฟ้า สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น MP3 players หรือในสมัยใหม่ที่นำคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตที่เป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีทางศึกษาอันสำคัญต่อการจัดการเรียนการสอนโดยการใช้ Web 2.0 เช่น Blogs, WiKis, Podcasting, Social Networking เป็นต้น

 

เอื้อเฟื้อแนวคิด

Voltz, Deborah L. , Sims, Michele Jean & Nelson, Betty. (2010). Connecting teacher, students,

               and standards: strategies for success in diverse and inclusive classrooms.  Alexandrin,

               VA: ASCD publication.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น